
มั่นใจว่าผู้คนจำนวนมากคงจะเคยกำเนิดอาการตาเขม่นหรือหนังตากระตุกกันดูเหมือนจะทุกคน รวมทั้งเมื่อตากระตุกอย่างแรกที่จะรำลึกถึงก็คือคำโบราณที่กล่าวว่า ขวาร้าย ซ้ายดี ที่เช้าใจกันว่า ถ้าหากดวงตาขวากระตุกมีความหมายว่าจะเกิดเหตุไม่ดี แต่ถ้าตาข้างซ้ายกระตุกหมายความว่าจะมีเรื่องดี ๆ ขึ้น ซึ่งจริง ๆ แล้ว อาการตากระตุกนั้นเกิดได้อย่างไร แล้วขวาร้ายซ้ายดีแบบที่โบราณบอกมันจริงหรือเปล่า
ตากระตุก หรือที่เรียกว่า ตาเขม่น เป็นภาวะที่มีการกระตุกของกล้ามเนื้อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว เช่น ใต้หนังตา มุมปาก หรือเฉพาะกล้ามเนื้อรอบลูกตาข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น โดยมักจะมีอาการกระตุกมากเวลาเครียดหรือกังวลใจ รวมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอก็อาจก่อให้เกิดอาการตาเขม่นได้บ่อย ๆ แต่ถ้าG2GBETได้รับการพักผ่อนที่เพียงพออาการเหล่านี้ก็จะหายได้เอง ซึ่งในสหรัฐอเมริกาพบผู้มีอาการหนังตากระตุก ประมาณ 5 คน ใน 1 แสนคน โดยพบผู้ป่วยใหม่ประมาณ 2,000 คน ทุกปี มักเป็นในช่วงอายุ 50-60 ปี พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย สำหรับสาเหตุยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอน จากการศึกษาคาดว่าน่าจะเกิดจากการประสานงานผิดปกติของเซลล์สมองและอาจมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย
สำหรับอาการเริ่มต้นอาจมีการกระตุกเกร็งของกล้ามเนื้อไม่มาก ทำให้กะพริบตาถี่ขึ้นกว่าปกติ ต่อมาถ้าเป็นมากขึ้นจะมีกล้ามเนื้อหนังตาเกร็งจนต้องกะพริบตาแรง ๆ บางคนถึงกับลืมตาไม่ขึ้นและมีกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกเกร็งร่วมด้วย อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ภาวะที่ทำให้อาการแย่ลง คือ ความเครียด อ่อนเพลีย บางคนอาจหายเองได้ แต่บางคนจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ซึ่งการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้จะต้องได้รับการตรวจตาโดยละเอียดจากจักษุแพทย์ก่อนว่า การเกิดตากระตุกนี้ไม่ได้เป็นผลต่อเนื่องมาจากโรคตาอื่น ๆ เพราะมีโรคตาบางอย่างที่ทำให้เกิดอาการนี้ได้ เช่น เปลือกตาอักเสบ ตาแห้ง ขนตาผิดปกติ การติดเชื้อของตา กระจกตาอักเสบ ต้อหิน ต้อกระจก โรคจอประสาทตา ซึ่งถ้ารักษาโรคเหล่านี้อาการตากระตุกก็จะหายไป
โดยแพทย์หญิงไรนา จินดาศักดิ์ ระบุว่า สาเหตุที่หนังตากระตุกมาจากการหดเกร็งค้างของกล้ามเนื้อตา หรือบริเวณใบหน้า ซึ่งเกิดจากการกระตุ้นผิดปกติของเส้นประสาทบริเวณใบหน้า ในกรณีที่หนังตากระตุกบ่อย ๆ เกิดจาก 2 กลุ่มโรค โดยกลุ่มแรกเรียกว่า Essential Blepharospasm มีอาการกระตุกเฉพาะหนังตาอย่างเดียว กลุ่มที่สองคือ Hemifacial Spasm ลักษณะของกลุ่มคนเหล่านี้จะกระตุกที่หนังตาและก็กระตุกที่บริเวณใบหน้าด้านนั้นด้วย ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกรุ๊ปที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากมาจากรอยโรคที่ไปกระตุ้น หรือกดทับเส้นประสาทคู่ที่ 7 ในสมอง ไม่ร้ายแรงถึงกับเป็นอัมพฤกษ์ แต่ว่าจำเป็นต้องเจอหมอเพื่อหารอยโรคนั้นก่อนจะช้าเหลือเกิน